ช่วงฤดูฝนแบบนี้มีหลายโรคที่ควรเฝ้าระวัง หนึ่งในนั้นก็คือโรคไข้เลือดออก จากสถิติของทวีปเอเชีย ประเทศไทยมีผู้ป่วยไข้เลือดออกเป็นอันดับที่ 2 รองจากประเทศฟิลิปปินส์ สำหรับกลุ่มอายุที่เป็นไข้เลือดออกมากที่สุด ได้แก่ ช่วงอายุ 10 – 14 ปี รองลงมาคือช่วงอายุ 5 – 9 ปี, 15 – 24 ปี และ 25 – 34 ปีตามลำดับ และคนที่อาศัยอยู่ในแหล่งชุกชุมก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไข้เลือดออกได้เช่นกัน เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากโรคไข้เลือดออก เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้ลึกซึ้งกันดีกว่า จะได้รู้วิธีห่างไกลจากโรคนี้กันมากขึ้น
โรคไข้เลือดเกิดจากอะไร?
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไวรัสเดงกี่ที่แพร่สู่ร่างกายคนโดยการกัดของยุงลายตัวเมีย ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกมักจะมีไข้สูงกว่าการเป็นไข้หวัดธรรมดา เนื่องจากยุงเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่ในอากาศร้อนชื้น จึงพบได้มากในประเทศเขตร้อนในทวีปเอเชีย แอฟริกา อเมริกากลาง อเมริกาใต้ ตอนเหนือของออสเตรเลีย และตามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก จากการแพร่ระบาดในวงกว้าง และแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลกหรือ WHO จึงประกาศให้โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ควรเฝ้าระวัง
อาการของโรคไข้เลือดออก
อาการเบื้องต้นจะคล้ายกับการเป็นไข้หวัดธรรมดาทั่วไป แต่ผู้ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกจะมีอาการที่รุนแรงกว่า หากทำการรักษาช้ามีโอกาสเสียชีวิตสูง ระยะการฟักตัวของไข้เลือดออกจะอยู่ในช่วง 3 – 5 วัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีไข้สูง กินยาลดไข้ก็ไม่บรรเทา ทั้งยังมีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร หน้าแดงร่วมด้วย บางรายก็มีการอาเจียน ท้องผูก เจ็บคอ ไอเล็กน้อย แต่ในระยะ 3 วันนี้จะยังไม่ปรากฏตุ่มให้เห็น
• ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก จะพบในช่วงเวลา 3 – 7 วันของการป่วย มักจะเกิดกับผู้ป่วยจากเชื้อเดงกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 ระยะนี้ถือเป็นระยะวิกฤตของโรคเลยก็ว่าได้ ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ลดลง แต่จะอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ทั้งยังกระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ความดันต่ำ และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1 – 2 วัน จะอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนี้หากผู้ป่วยมีเลือดออกตามผิวหนัง อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจต้องเสียชีวิตภายใน 24 – 27 ชั่วโมงกันเลย แต่หากผ่านพ้นภาวะตรงนี้มาได้ ต่อไปก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ก็คือระยะฟื้นตัว
• ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในผู้ป่วยที่มีอาการช็อก, ช็อกไม่รุนแรง หรือได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยจะฟื้นตัวอยู่ในสภาพปกติ เริ่มร่าเริงขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น และจะดีขึ้นตามลำดับภายในช่วงระยะเวลา 7 – 10 วันหลังจากผ่านระยะที่ 2 ของโรค
การรักษาโรคไข้เลือดออก
ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มีการรักษาเฉพาะ จะเป็นเพียงการเฝ้าระวังภาวะช็อกเท่านั้น โดยทั่วไปการดูแลผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกมีดังนี้
1. ให้ยาลดไข้อย่างพาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกร็ดเลือดผิดปกติและระคายกระเพาะอาหารได้
2. ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมักมีภาวะขาดน้ำ ฉะนั้นควรจะให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ
3. ให้ตรวจนับจำนวนเกร็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ เพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำชดเชย
4. ติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการปวดท้อง กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
ปัจจุบันนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคไข้เลือดออก แต่เราก็สามารถป้องกันได้โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้หมดไป ยุงลายจะชอบเพาะพันธุ์ในน้ำใส ฉะนั้นก็ให้กำจัดน้ำขัง ภาชนะที่ใช้เก็บน้ำก็ปิดฝาให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในแจกันทุกๆ 7 วัน เลี้ยงปลาที่ชอบกินลูกน้ำอย่างปลาหางนกยูงในภาชนะที่มีน้ำขังขนาดใหญ่ ทั้งนี้ยุงก็มักจะชอบกัดคนในเวลากลางวัน เราก็ป้องกันโดยการสวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และพยายามไม่อยู่ในบริเวณมุมอับชื้น เป็นต้น