การมีสุขภาพดีถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้คนเราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติและมีความสุข ในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมทำให้การใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป อาหารการกินต่างๆ มีความหลากหลายมากขึ้น และให้พลังงานมากขึ้นด้วย จึงทำให้หลายคนประสบกับปัญหากับการสะสมของไขมันส่วนเกินตามร่างกาย และเกิดปัญหาด้านน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งทำให้เรามีรูปร่างอ้วนจนดูสุขภาพไม่ดี
หากจะต้องลดน้ำหนักก็มักจะหมายถึงการที่เราต้องงดของชอบ ทั้งของหวาน และของมัน ซึ่งอาจทำให้หลายคนรู้สึกปวดใจกับการที่ไม่สามารถรับประทานอาหารอย่างใจต้องการได้ แต่มีวิธีลดน้ำหนักวิธีหนึ่งที่ไม่ต้องอดอาหารที่ชอบแต่อย่างใด ทำให้เราสามารถมีความสุขกับอาหารได้อย่างเดิม นั่นคือ วิธีลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting (IF)
สารบัญเนื้อหา
ประเภทของการลดน้ำหนักแบบ IF
วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF หรือ Intermittent Fasting คือ วิธีการลดน้ำหนักง่ายๆ ที่ใช้การจำกัดเวลาในการทานอาหาร อาจมีการควบคุมแคลอรี่ของอาหารใรแต่ละมื้อ การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้จะมีการแบ่งช่วงเวลาอาหารเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเวลาสำหรับการรับประทานอาหาร (Feeding) และช่วงเวลาสำหรับการอดอาหาร (Fasting) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
-
TRF: Time-restricted feeding
การทำ IF ประเภทนี้เป็นการจำกัดระยะเวลารับประทานอาหารของแต่ละวัน วิธีนี้จะมีการแบ่งเวลาอาหารในวันหนึ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเวลาในการรับประทานอาหาร และช่วงเวลาในการอดอาหาร โดยอาจแบ่งระยะเวลาสำหรับการรับประทานอาหาร 4-12 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนเวลาอื่นนั้นให้งดการรับประทานอาหารใดๆ แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ตามปกติ การลดน้ำหนักประเภทนี้เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดในการลดน้ำหนักแบบ IF สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
-
- Overnight Fasting 12:12
- Fasting 14:10
- Lean Gains 16:8
- Fast 5 (19:5)
- Warrior Diet 20:4
-
WDF: Whole-day fasting
การจำกัดการรับประทานอาหารแบบงดการรับประทานอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หรือมีการจำกัดจำนวนแคลอรี่อาหารที่สามารถรับประทานได้ในแต่ละวัน โดยจะมีการจำกัดอาหารเช่นนี้เป็นเวลา 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออดอาหารแบบวันเว้นวัน ซึ่งจะทำให้รู้สึกหิวได้ง่ายกว่าปกติ และอาจไม่ดีต่อสุขภาพมากนัก การลดน้ำหนักแบบ IF ประเภทนี้สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
-
- Fast Diet 5:2
- Eat, Stop, Eat
- Alternate-day fasting (ADF)
วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF ประเภท Time-restricted feeding
Overnight Fasting 12:12
วิธีการลดน้ำหนักแบบ Overnight Fasting 12:12 วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้ที่ทำการเริ่มต้นลดน้ำหนักแบบ IF เพราะเป็นวิธีที่มีความสอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ โดยแบ่งช่วงอาหารเป็นสองช่วง คือ ช่วงระยะเวลาในการรับประทานอาหาร 12 ชั่วโมง และช่วงระยะเวลาในการอดอาหาร 12 ช่วงโมง
การรับประทานอาหารของคนทั่วไปมักจะเริ่มอาหารมื้อแรกในตอนเช้าก่อนการทำงาน หรือก่อนทำกิจกรรมต่างๆ ของวันนั้น แล้วรับประทานอาหารมื้อที่สองในช่วงพักวงกลางวัน และรับประทานมื้อเย็นหลังเสร็จสิ้นจากการทำงาน การทำ IF แบบ Overnight Fasting 12:12 จึงเหมาะสมกับคนที่ต้องเริ่มงานในตอนเช้าและเลิกงานในเวลาเย็น
Fasting 14:10
วิธีการลดน้ำหนักแบบ Fasting 14:10 เป็นวิธีที่ง่ายรองลงมาจาก Overnight Fasting เพราะเป็นวิธีที่ค่อนข้างสอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของคนเรา โดยแบ่งช่วงอาหารเป็นสองช่วง คือ ช่วงระยะเวลาในการรับประทานอาหาร 10 ชั่วโมง และช่วงระยะเวลาในการอดอาหาร 14 ช่วงโมง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นการทำ IF
Lean Gains 16:8
การลดน้ำหนักแบบ Lean Gains 16:8 วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมาก เนื่องจากไม่ทำให้ร่างกายรู้สึกหิวระหว่างวันมากนัก โดยวิธีนี้จะแบ่งช่วงเวลาอาหารในแต่ละวันเป็นสองช่วง คือ ช่วงเวลาสำหรับอดอาหาร 16 ชั่วโมง และช่วงเวลาสำหรับรับประทานอาหาร 8 ชั่วโมง วิธีนี้เป็นวิธีการทำ IF ที่เหมาะกับผู้มีความคุ้นเคยในการอดอาหารมาก่อน และมีกิจวัตรประจำวันที่สามารถรับประทานอาหารตรงเวลา ซึ่งจะช่วยให้การลดน้ำหนักมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
Fast 5 (19:5)
การลดน้ำหนักแบบ Fast 5 หรือ 19:5 จะมีการแบ่งช่วงเวลาอาหารเป็นสองช่วง โดยวิธีนี้จะมีช่วงเวลาในแต่ละวันสำหรับการรับประทานอาหารเพียง 5 ชั่วโมง และมีช่วงเวลาสำหรับอดอาหาร 19 ชั่วโมง วิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการลดน้ำหนักแบบ IF และอาจทำให้รู้สึกหิวระหว่างวัน
Warrior Diet 20:4
วิธีลดน้ำหนักแบบ Warrior Diet 20:4 จะแบ่งช่วงระยะเวลาอาหารในแต่ละวันของคนเราเป็นสองช่วง โดยมีช่วงเวลาในการรับประทานอาหาร 4 ชั่วโมง และมีช่วงเวลาอดอาหาร 20 ชั่วโมง วิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้เพิ่งเริ่มต้นการลดน้ำหนักแบบ IF และอาจทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึกหิวระหว่างวันมากเกินไป ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้มักจะรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียว โดยจัดเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายและรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ
วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF ประเภท WDF: Whole-day fasting
Fast Diet หรือ 5:2
การลดน้ำหนักด้วยวิธี Fast Diet 5:2 จะใช้การควบคุมแคลอรี่ในการรับประทานอาหาร โดยในหนึ่งสัปดาห์จะมีการจำกัดอาหารสองวัน โดยวันที่จำกัดอาหารจะควบคุมแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับให้ไม่เกิน 500-600 กิโลแคลอรี่ต่อวัน สำหรับผู้หญิงให้รับประทานอาหารได้ไม่เกิน 500 กิโลแคลอรี่ สำหรับผู้ชายให้รับประทานอาหารได้ไม่เกิน 600 กิโลแคลอรี่ หรือบางคนอาจใช้วิธีการอดอาหารสองครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ แต่การลดน้ำหนักด้วยวิธีควบคุมแคลอรี่จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากกว่าการงดรับประทานไปเลย
การลดน้ำหนักด้วยวิธี Fast Diet 5:2 เป็นการพัฒนามาจาก Alternate-day fasting (ADF) จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Alternate-day modified fasting บางแห่งอาจเรียกว่า Fasting Twice a Week
Eat, Stop, Eat
การลดน้ำหนักด้วยวิธี Eat, Stop, Eat เป็นการลดน้ำหนักแบบไม่รับประทานอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง หรือสองครั้งต่อสัปดาห์ วิธีนี้อาจทำให้รู้สึกหิวและมีอาการโหยในวันที่อดอาหาร อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และเกิดความเครียด ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้ วิธีนี้อาจได้ผลสำหรับกับบางคน แต่เราไม่แนะนำให้ลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารทั้งวัน
Alternate-day fasting (ADF)
การลดน้ำหนักด้วยวิธี Alternate-day fasting เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ถือว่าสุดโต่งที่สุดในการทำ IF เนื่องจากเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่มีการอดอาหารแบบวันเว้นวัน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายรับภาระหนักมากเกินไปจากการอดอาหาร วิธีนี้จะมีการรับประทานอาหารในหนึ่งวัน สลับกับการอดอาหารหนึ่งวัน แล้วสลับมารับประทานอาหารในวันต่อมา ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่แนะนำให้ลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารทั้งวัน การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้สำหรับวันที่มีการอดอาหาร บางคนอาจมีการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำบ้างเล็กน้อย
วิธีทำ IF สำหรับผู้เริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยตนเอง
การเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยการทำ IF สำหรับผู้ที่ไม่เคยลดน้ำหนักมาก่อน หรือไม่เคยลองลดน้ำหนักแบบ IF เลย แนะนำให้ใช้วิธีการทำ IF แบบ Overnight Fasting 12:12 หรือ Fasting 14:10 เนื่องจากสองวิธีนี้เป็นวิธีที่มีการจำกัดช่วงเวลาอาหารน้อยกว่าวิธีอื่นๆ อีกทั้งยังสามารถรับประทานอาหารได้ครบสามมื้อในเวลาช่วงที่เหมาะสม โดยไม่ต้องอดอาหารนานเกินไปจนอาจเกิดอาการโหยระหว่างวัน
เราขอยกตัวอย่างการเริ่มต้นอาหารมื้อแรกของวันในเวลา 7 โมงเช้า ด้วยการทำ IF แบบ Overnight Fasting 12:12 และการทำ IF แบบ Fasting 14:10 ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
Overnight Fasting 12:12
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการทำ IF แบบ Overnight Fasting 12:12 หากเริ่มต้นการรับประทานอาหารเช้าในเวลา 7 โมงเช้า ควรรับประทานอาหารมื้อเย็นก่อนเวลา 1 ทุ่ม (เวลารับประทานอาหาร 07.00 – 19.00 น.) หลังจากนั้นให้งดอาหารเป็นเวลา 12 ชั่วโมง (งดรับประทานอาหาร 19.00 – 07.00 น.) และรับประทานอาหารอีกครั้งในเวลา 7 โมงเช้าของวันถัดไป วิธีนี้เราจะมีเวลาในการรับประทานอาหาร 12 ชั่วโมง
Fasting 14:10
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการทำ IF แบบ Fasting 14:10 หากเริ่มต้นรับประทานอาหารเช้าในเวลา 7 โมงเช้า ควรรับประทานมื้อเย็นก่อน 5 โมงเย็น (เวลารับประทานอาหาร 07.00 – 17.00 น.) หลังจากนั้นให้งดอาหารเป็นเวลา 14 ชั่วโมง (งดรับประทานอาหาร 17.00 – 07.00 น.) และรับประทานอาหารอีกครั้งในเวลา 7 โมงเช้าของวันถัดไป วิธีนี้เราจะมีเวลาในการรับประทานอาหาร 10 ชั่วโมง
เวลาในการรับประทานอาหารของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามความสะดวกของแต่ละบุคคล ซึ่งจะเริ่มต้นเมื่อเวลาใดก็ได้ วิธีการนับเวลาอาหารให้นับตั้งแต่เวลาเริ่มต้นมื้อแรกของวัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรรับประทานให้ตรงเวลา โดยควรเริ่มต้นมื้อแรกในตอนเช้า และไม่รับประทานอาหารในช่วงกลางคืน
วิธีลดน้ำหนักแบบ IF ที่นิยมมากที่สุด
การลดน้ำหนักแบบ IF ที่นิยมมากที่สุด คือ Lean Gains 16:8 วิธีนี้จะมีช่วงเวลาในการรับประทานอาหาร 8 ชั่วโมง ซึ่งผู้ที่ใช้การลดน้ำหนักวิธีนี้ส่วนใหญ่มักจะเริ่มรับประทานอาหารในช่วงเวลาสาย โดยเริ่มต้นอาหารมื้อแรกในเวลาประมาณ 10 โมงเช้า แล้วรับประทานอาหารมื้อเย็นก่อน 6 โมงเย็น (เวลาในการรับประทานอาหาร 08.00 – 18.00 น.) หรืออาจมีการปรับเปลี่ยนเวลาในการรับประทานอาหารตามความเหมาะสม วิธีนี้จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วขึ้นหากมีการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและตรงตามเวลา ซึ่งจะช่วยให้รูปร่างของคุณผอม สวย ดูดี และสุขภาพดี
การทำ IF ต้องควบคุมอาหารไหม?
วิธีการทำ IF โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีการควบคุมอาหาร และไม่มีการจำกัดแคลอรี่ที่สามารถรับประทานได้ได้ต่อวัน จึงเป็นวิธีที่ง่ายกว่าการลดน้ำหนักทั่วไป เพราะไม่ทำให้เกิดการกดดันตัวเองมากเกินไป จึงลดโอกาสที่จะเกิดความเครียดจากการอดอาหารที่ชอบเป็นเวลานานๆ การกินอาหารอย่างเต็มที่หลังจากที่ต้องอดอาหารจะทำให้ร่างกายรู้สึกได้รับการชดเชย จึงทำให้รู้สึกดีที่จะลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ต่อไป หากต้องการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ไม่ควรลดปริมาณอาหารมากจนเกินไป เพราะอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกายจากการได้รับอาหารไม่เพียงพอได้
การทำ IF แบบควบคุมอาหารมีเพียงแค่การทำ IF แบบ Fast Diet 5:2 เท่านั้นที่จะควบคุมแคลอรี่อาหารที่สามารถรับประทานได้ ซึ่งจะมีการควบคุมอาหารให้ไม่เกิน 500-600 กิโลแคลอรี่ต่อวัน เป็นเวลาสองครั้งต่อสัปดาห์
ลดน้ำหนักแบบ IF ควรกินอย่างไร?
สำหรับการลดน้ำหนักด้วยการทำ IF จะมีการแบ่งช่วงเวลาอาหารเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงเวลาอาหาร และช่วงเวลาอดอาหาร ประเภทอาหารที่รับประทานได้จะแบ่งตามช่วงเวลา ดังนี้
- ช่วงเวลาอาหาร
สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ และควรรับประทานอาหารให้อิ่ม ไม่ควรปล่อยให้ตนเองรู้สึกหิวในช่วงเวลานี้ เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังขาดอาหารมากจนเกินไปแล้ว ประเภทอาหารที่รับประทานสามารถรับประทานอาหารตามใจชอบได้ เพื่อให้รู้สึกมีความสุขและสร้างกำลังใจในการลดน้ำหนักให้แก่ตนเอง หรืออาจรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีและแข็งแรง
- ช่วงเวลาอดอาหาร
ควรหลีกเลี่ยงจากการรับประทานอาหารทุกชนิด ไม่ควรรับประทานอาหารอะไรเลย ควรงดเครื่องดื่มให้ความหวานและเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูง หากรู้สึกกระหายสามารถดื่มน้ำเปล่าได้ตามปกติ แต่หากรู้สึกหิวมากจนทนไม่ไหวอาจรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำได้บ้าง และเป็นไปได้ว่าวิธีการอดอาหารแบบที่เลือกใช้อยู่นั้นไม่เหมาะสม ควรปรับเปลี่ยนด้วยการทำ IF วิธีอื่นที่มีจำนวนเวลาในการรับประทานอาหารที่มากขึ้น และไม่ต้องอดอาหารนานเกินไป เพื่อไม่ให้ร่างกายต้องรับภาระจากการลดน้ำหนักที่หนักจนอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
ในกรณีที่เป็นการทำ IF แบบ Whole-day fasting คือ มีช่วงเวลาการอดอาหารแบบ 24 ชั่วโมง แนะนำให้จำกัดอาหารแทนการอดอาหาร บางคนอาจเคยลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้แล้วได้ผลดี แต่ไม่ใช่ว่าวิธีที่จะเหมาะสมกับทุกคน ดังนั้นการจำกัดอาหารให้เหลือเพียง 500-600 กิโลแคลอรี่ในช่วงเวลาอดอาหาร ก็ถือว่าเป็นการลดน้ำหนักที่มากเพียงพอแล้ว หรือหากร่างกายยังคงรู้สึกหิวอยู่ แนะนำให้พิจารณาการทำ IF วิธีอื่นแทน
อาหารสำหรับการลดน้ำหนัก
การรับประทานอาหารเพื่อให้มีสุขภาพดี และช่วยในการลดน้ำหนักได้ สามารถทำได้โดยการจัดสัดส่วนของอาหารให้เหมาะสม โดยแบ่งส่วนของจานเป็น 4 ส่วน และจัดอัตราส่วนของอาหารเป็น 2:1:1 ในหนึ่งจาน
- 2 ส่วนเป็นอาหารที่ให้พลังงานในกลุ่มของวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผัก
- 1 ส่วนเป็นอาหารที่ให้พลังงานในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวขาว ข้าวกล้อง
- 1 ส่วนเป็นอาหารที่ให้พลังงานในกลุ่มของโปรตีนและไขมัน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ (แนะนำให้เป็นเนื้อสัตว์แบบไม่ติดมัน)
หลังจากรับประทานเรียบร้อยแล้ว อาจมีการรับประทานอาหารอื่นเพิ่มเติม เช่น นมสด นมถั่วเหลือง และผลไม้ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการอาหาร 5 หมู่ และควรรับประทานอาหารที่มีใยอาหารหรือไฟเบอร์อยู่เป็นประจำ เพื่อช่วยให้การทำงานของร่างกายมีความสมบูรณ์ ทำให้รู้สึกอิ่มได้ง่ายขึ้น ลดความอยากอาหาร และช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ จึงช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
การทำ IF ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร ?
หากพูดโดยหลักการวิทยาศาสตร์แล้ว การลดน้ำหนักแบบ IF สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จากการที่เรารับประทานอาหารแบบจำกัดเวลา และมีระยะเวลาในการอดอาหารนานๆ โดยจะส่งผลต่อการทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนสำคัญ คือ โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) และฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)
- โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)
โกรทฮอร์โมน คือ ฮอร์โมนที่มีหน้าที่ในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งโดยปกติแล้วจะร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาเมื่อคนเรานอนหลับสนิทในเวลากลางคืน แต่นอกจากการนอนหลับแล้ว การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารประเภทโปรตีน และความรู้สึกหิวก็สามารถทำให้ร่างกายเพิ่มการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาได้เช่นกัน ซึ่งสามารถช่วยในการลดไขมันในร่างกาย ลดน้ำหนัก และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จึงทำให้เราน้ำหนักลดลงและมีร่างกายแข็งแรง
- ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)
ฮอร์โมนอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงผลของระดับฮอร์โมนอินซูลินจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ร่างกายของคนเรามีแหล่งพลังงานสะสมซึ่งเป็นพลังงานสำรองที่ถูกเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น โดยฮอร์โมนอินซูลินจะทำหน้าที่ในการสร้างพลังงานสำรองนี้ หรือก็คือ ไกลโคเจน (Glycogen) โดยสร้างจากน้ำตาลกลูโคสแล้วเก็บสะสมไว้ที่กล้ามเนื้อและตับ เมื่อเราอดอาหารเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะทำให้ระดับฮอร์โมนอินซูลินลดน้อยลง และร่างกายก็จะรู้สึกขาดอาหาร
เมื่อร่างกายขาดอาหารก็จะไปดึงพลังงานจากน้ำตาลที่ชื่อ ไกลโคเจนมาใช้เป็นพลังงานสำรอง แต่หากเราขาดอาหารเป็นเวลานานจนพลังงานไกลโคเจนมีไม่เพียงพอ หรือขาดอาหารนานเกิน 10 ชั่วโมงขึ้นไป ร่างกายเราจะเกิดภาวะขาดน้ำตาล ส่งผลให้ร่างกายของเราต้องไปดึงพลังงานจากไขมันมาใช้แทน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดปัญหาไขมันส่วนเกินในร่างกายได้ ทำให้น้ำหนักตัวลดลง ช่วยให้เราผอมลงแล้วกลับมามีรูปร่างดี และมีสุขภาพแข็งแรง
ข้อดีของการลดน้ำหนักแบบ IF
- สามารถรับประทานอาหารที่ชอบได้ตามปกติ
- ช่วยให้รับประทานอาหารเป็นเวลา
- ช่วยให้น้ำหนักตัวลดลง และลดปริมาณไขมันส่วนเกินในร่างกาย
- มีหลายวิธีในการทำ IF ให้เราสามารถเลือกปรับใช้ให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของตนเอง
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักแบบ IF
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีปัญหาด้านการขาดสารอาหาร
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ต้องควบคุมอาหารเป็นประจำ
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร
การลดน้ำหนักด้วยการทำ IF นั้นมีหลายวิธีด้วยกัน ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง และควรเริ่มต้นจากวิธีที่ง่ายที่สุดก่อน เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวกับการอดอาหารเป็นระยะเวลานานได้ การใช้ชีวิตอย่างเป็นเวลา การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การออกกำลังกาย และการนอนหลับให้เพียงพอ จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายสามารถทำได้อย่างดี ช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างเหมาะสม ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ได้อย่างเป็นปกติ ทำให้เราสามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว และมีสุขภาพดี