ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (Lopinavir and Ritonavir, LPV/r) เป็นยาต้านไวรัสสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ มีส่วนผสมของยาสองชนิดรวมกัน คือ ยาโลพินาเวียร์ (Lopinavir, LPV) และยาริโทนาเวียร์ (Ritonavir, RTV) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีและผลข้างเคียงน้อย องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้มีการใช้ยาริโทนาเวียร์ร่วมกับยาอื่นๆ เช่น อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir, ATV) โลพินาเวียร์ (Lopinavir, LPV) และดารุนาเวียร์ (Darunavir, DRV)ในการรักษาการติดเชื้อ HIV โรคเอดส์ และไวรัสตับอักเสบ
สารบัญเนื้อหา
วิธีใช้ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์
การใช้ยาควรรับประทานพร้อมอาหาร โดยกลืนทั้งเม็ด ห้ามเคี้ยวหรือหักเม็ดยา จำนวนการใช้ยาในแต่ละวันจะขึ้นกับขนาดของตัวยา สามารถแบ่งแยกวิธีใช้ตามชื่อทางการค้าและขนาดยาได้ดังนี้
-
Aluvia
Lopinavir 100 mg. + Ritonavir 25 mg. : รับประทานยาครั้งละ 4 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
-
Kaletra
Lopinavir 133 mg. + Ritonavir 33 mg. : รับประทานยาครั้งละ 3 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
Lopinavir 200 mg. + Ritonavir 50 mg. : รับประทานยาครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
ข้อแนะนำ
- ยา Protease Inhibitors (PI) ทุกตัวที่ให้ร่วมกับยา Ritonavir (RTV) ไม่ควรให้ร่วมกับยา Ergotamine
- ผู้ที่ใช้นี้เป็นประจำควรหมั่นตรวจระดับไขมันและระดับน้ำตาลในเลือด ทุก 6 เดือน
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย รวมถึงอาจส่งผลต่อระดับไขมัน ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง และระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควรระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีปัญหาการทำงานของตับหรือไตบกพร่อง
ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (Lopinavir and Ritonavir, LPV/r) เป็นต้านไวรัสสำหรับรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HIV และใช้ในการรักษาโรคเอดส์ แต่ปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงมีการใช้ยานี้เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อ ทั้งผู้ที่มีอาการทั่วไป และผู้ที่มีอาการรุนแรง โดยใช้ร่วมกับยาอื่นๆ ทั้งนี้ไม่ใช่ยาสำหรับรักษาโรคโดยตรง และการกินยาก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้ สำหรับวัคซีนและยาต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย เพื่อค้นหาตัวยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่อไป
เรียบเรียงข้อมูลจาก